วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วัดหนองแวงธาตุ พระแก่นนคร





วัดหนองแวง พระธาตุแก่นนคร ขอนแก่น


วัดหนองแวง ขอนแก่น


กราบนมัสการพระธาตุ ณ วัดหนองแวง จังหวัดขอนแก่น (คู่หูเดินทาง)

          เนื่องจากในเดือนนี้มีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาคือ วันอาสาฬหบูชา ทางคู่หูเดินทางจึงอยากเชื้อเชิญให้เราชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เข้าวัด ฟังธรรม รักษาศีล เพื่อเป็นการพักผ่อนจิตใจ หลังจากที่เราต้องใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยกับโลกในยุคปัจจุบันนี้ ทุกครั้งที่ทางทีมงานได้ออกไปทำคอลัมน์ เก็บเกี่ยวเรื่องราวและประสบการณ์ดี ๆ มาฝากคุณผู้อ่านก็ไม่เคยพลาดที่จะต้องแวะวัด ทำบุญ กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนั้น ๆ เช่นกัน 

          โอกาสนี้เราจึงอยากจะพาคุณผู้อ่าน ไปกราบนมัสการพระธาตุสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ณ วัดหนองแวง ซึ่งมีพระมหาธาตุแก่นนคร หรือ พระธาตุ 9 ชั้นอันงดงามตั้งอยู่ที่นั่นกันค่ะ...

วัดหนองแวง ขอนแก่น



          วัดหนองแวง (พระอารามหลวง) ซึ่งมีพระมหาธาตุแก่นนคร หรือ พระธาตุเก้าชั้น เรือนยอดทรงเจดีย์ (จำลองแบบจากพระธาตุขามแก่น) จัดสร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี และมหามังคลานุสรณ์ 200 ปี เมืองขอนแก่น ความสูงขององค์พระธาตุฯ 80 เมตร มีพระจุลธาตุ 4 องค์ ตั้งอยู่ 4 มุมและมีกำแพงแก้วพญานาค 7 เศียรล้อมรอบ เป็นศิลปะสมัยทวาราวดี ผสมผสานศิลปะอินโดจีน 

          ในระหว่างการเดินขึ้นเราจะได้ยินเสียงอันไพเราะก้องกังวาน ของกระดิ่งที่แขวนไว้โดยรอบพระธาตุทั้ง 9 ชั้น ทำให้มีความสุขใจในขณะเดินขึ้นไปในแต่ละชั้น พร้อมยังสามารถเดินชมศิลปะและความงดงามของบานประตู ภาพวาด และหน้าต่างแกะสลัก บอกเล่าเรื่องราวเป็นภาพชาดก ภาพพุทธประวัติ 

          ในชั้นบนสุดของพระธาตุเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุกลางบุษบก อีกทั้งยังเป็นจุดชมวิวทัศนียภาพ ความสวยงามของเมืองขอนแก่นได้รอบทั้ง 4 ทิศ โดยเฉพาะทางด้านทิศตะวันออก สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของบึงแก่นนคร ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 600 ไร่

วัดหนองแวง ขอนแก่น

วัดหนองแวง ขอนแก่น

ภายในองค์พระธาตุแต่ละชั้น

           ชั้นที่ 1 เป็นหอประชุม มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ส่วนอุรังคธาตุ (ส่วนอก) และพระธาตุของพระสาวกประมาณ 100 องค์ ประดิษฐานอยู่ บานประตู หน้าต่าง แกะสลักภาพนิทานเรื่องจำปาสี่ต้น แบบ 3 มิติ และมีจิตรกรรมฝาผนังประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่น

           ชั้นที่ 2 เป็นพิพิธภัณฑ์ของชาวอีสาน โดยเก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ในอดีต ที่ค่อนข้างหาดูได้ยากในปัจจุบัน พร้อมทั้งทีการวาดลวดลายบนผนังที่เกี่ยวกับข้อห้ามของคนอีสาน ที่เรียกว่า "คะลำ" ซึ่งเป็นแนวประพฤติตนในการอยู่ร่วมกันของชาวอีสาน โดยแต่ละภาพก็หมายถึงข้อห้ามแต่ละข้อ ซึ่งมีทั้งหมด 35 ข้อ บานประตู หน้าต่าง เขียนลวดลายเบญจรงค์ และภาพแกะสลักนิทานเรื่องสังศิลป์ชัย

           ชั้นที่ 3 เป็นหอปริยัติ บานประตู หน้าต่าง เขียนลวดลายเบญจรงค์และภาพแกะสลักนิทานเรื่องนางผมหอม เป็นนิทานที่ได้เล่าสืบต่อกันมาแต่โบราณของชาวอีสาน และในชั้นที่สามนี้ได้รวบรวมตาลปัตร พัดยศ และเครื่องอัฐบริขารของพระภิกษุสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดขอนแก่น

           ชั้นที่ 4 เป็นหอปริยัติธรรม ภายในมีพิพิธภัณฑ์ของเก่า ภาพวาดที่บานประตู หน้าต่าง เป็นภาพพระประจำวันเกิด เทพประจำทิศ และตัวพึ่ง-ตัวเสวย

           ชั้นที่ 5 เป็นหอพิพิธภัณฑ์ มีบริขารของหลวงปู่พระครูปลัดบุษบา สุมโน อดีตเจ้าอาวาสวัดรูปที่ 6 บานประตูหน้าต่างแกะสลักภาพพุทธชาดก

           ชั้นที่ 6 เป็นหอพระอุปัชฌายาจารย์ บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานชาดกเรื่องเวสสันดร

           ชั้นที่ 7 เป็นหอพระอรหันต์สาวก บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานเรื่องพระเตย์มีใบ้

           ชั้นที่ 8 เป็นหอพระธรรม เป็นที่รวบรวมพระธรรม คัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา พระไตรปิฏก ฯลฯ บานประตูแกะสลักรูปพรหม 16 ชั้น

           ชั้นที่ 9 เป็นหอพระพุทธ ตรงกลางมีบุษบก เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า บานประตูแกะสลักภาพ 3 มิติ รูปพรหม 16 ชั้น

          ทั้งนี้ วัดหนองแวง เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น. 
         






         

กระกรอกน้อย





การเลี้ยงกระรอก



Click here to see a large version


ก่อนที่เราจะเริ่มทำการเลี้ยงกระรอกกันนั้น เราควรมาทำความรู้จักกับเจ้ากระรอกน้อยกันก่อนดีกว่ามัย
กระรอก(Squirrel) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม มีขนาดลำตัวเล็ก ขนปุยปกคลุมทั่วทั้งร่ายกายอันน้อยๆของมัน นัยตากลมโต มีหางเป็นพวงฟู จัดอยู่ในประเภทสัตว์ฟันแทะ




วงศ์กระรอกมี วงศ์ย่อย 2 วงศ์ คือ Pteromyinae ได้แก่ กระรอกบิน และวงศ์ Sciurinae ได้แก่ กระรอกต้นไม้, กระรอกบิน, ชิพมั้งค์ สำหรับการเลี้ยงกระรอกทั้งสองชนิดนั้นก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันมากครับ
กระรอกต้นไม้ เป็นกระรอกที่มักพบเห็นได้บ่อยๆและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีหางยาวเป็นพวงสวยงาม มีกรงเล็บแหลมคมมากๆ และมีใบหูใหญ่กว่าชนิดอื่นๆ บางชนิดมีปอยขนที่หู ส่วนกระรอกบินนั้น จะมีพังผืดข้างลำตัว สำหรับกางเพื่อร่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง มักเป็นการหากินในตอนกลางคืน มีตาสะท้อนแสงไฟ กระรอกดิน มักจะมีรูปร่างสั้น และล่ำสันกว่ากระรอกต้นไม้ทั่วไปเล็กน้อย มีขาหน้าแข็งแรงใช้สำหรับการขุดดิน หางของกระรอกดินนั้นจะสั้นกว่าหางของกระรอกต้นไม้ และไม่ฟูเป็นพวงนัก และเช่นเดียวกับสัตว์ฟันกัดแทะชนิดอื่น ๆ กระรอกจะมีนิ้วเท้าหลังข้างละ 5 นิ้ว และ นิ้วเท้าหน้าข้างละ 4 นิ้ว ตรงส่วนที่น่าจะเป็นนิ้วโป้งจะกลายเป็นปุ่มนูน ๆ ซึ่งถูกพัฒนาให้เหมาะสำหรับจับอาหารมาแทะ






กระรอกมีขนาดใหญ่เล็กต่าง ๆ กันไปตามสายพันธุ์ และสามารถแบ่งตามขนาดได้ 3 กลุ่ม คือ ขนาดใหญ่ เช่น พญากระรอก ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทยพบอยู่เพียง 2 ชนิด คือ พญากระรอกดำ (Ratufa bicolor) และพญากระรอกเหลือง (Ratufa affinis) ซึ่งได้ถูกขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ขนาดกลาง เช่น กระรอกหลากสี (Callosciurus finlaysoni) กระจ้อน (Menetes berdmorei) และ ขนาดเล็ก เช่น กระเล็น (กระถิก) ซึ่งเป็นกระรอกที่เล็กที่สุดที่พบในประเทศไทย
เมื่อเรารู้ลักษณะของกระรอกแต่ละสายพันธ์แล้วที่นี้เราก็ลงมือทำการเลี้ยงกระรอกกันเลยครับ

อาหารกับวัยรุ่น







วัยรุ่นเป็นวัยที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา โดยจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม มีความต้องการสารอาหารและพลังงานค่อนข้างสูง ควรมีการบริโภคอาหารอย่างถูกต้องและเหมาะสม มิฉะนั้นจะก่อให้เกิดผลเสียต่อสมรรถนะในด้านต่างๆ เช่น การเรียน การเล่นกีฬา การเจริญเติบโต ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บติดตามมา รวมทั้งโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ในวัยรุ่นยุคปัจจุบัน โรคภัยไข้เจ็บเรื้อรังที่เกิดขึ้น อาจส่งผลให้อายุเฉลี่ยของประชากรชาวโลกลดน้อยลง




ดังนั้นอาหารสำหรับวัยรุ่นโดยทั่วๆ ไปก็คล้ายๆ กับสัดส่วนอาหาร ซึ่งทางเวชศาสตร์ต้านความชราแนะนำ คือ


ควรได้พลังงานจากโปรตีนร้อยละ 10-15 เทียบได้กับเนื้อสัตว์ 45-60 กรัมต่อวัน หรือ 2-3 ส่วนต่อวัน




คาร์โบไฮเดรตร้อยละ 45-65 และควรเป็นรูปเชิงซ้อน เช่น กลุ่มแป้ง ข้าว ขนมปัง 8-12 ทัพพี ผัก 2-4 ส่วนต่อวัน (4-6 ทัพพี)


ผลไม้ เพื่อการได้มาซึ่งวิตามิน เกลือแร่และควรรับประทานของสด 3-5 ส่วนต่อวัน



ไขมันน้อยกว่าร้อยละ 30 และควรมีสัดส่วนไขมันอิ่มตัวต่อ
ไขมันไม่อิ่มตัวในสัดส่วน 1:1


น้ำตาล เกลือเล็กน้อย


แคลเซียม 1200-1500 มิลลิกรัมต่อวัน


ธาตุเหล็ก 12-15 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับธาตุเหล็กควรได้รับในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากการได้รับมากเกินไปโดยที่ร่างกายไม่ขาดอาจก่อให้เกิดการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลทำให้เกิดความเสื่อมชราเร็วขึ้นได้ ดังนั้นควรจะเสริมเมื่อขาดเท่านั้น

โรคร้ายจาก บีบี



 ปวดนิ้วหัวแม่มือ สัญญาณบอกเหตุโรคฮิต “BB Thumb” ทำไงไม่ให้นิ้วล็อก เรามีท่าบริหารง่ายๆ มาฝาก



                      By Lady Manager

       
ก็ทุกวันนี้ สารพัดเครื่องมือสื่อสารที่ต้องใช้นิ้วจิ้ม-กด เพื่อพิมพ์แชท (Chat) หรือเล่นเกมกันให้สนุกสนาน หรรษา มันช่างฮิตเสียเหลือเกิน เรียกได้ว่าเดินไปไหนมาไหน เป็นเห็นหนุ่มสาวหน้าใส ทั้งวัยทำงาน วัยรุ่น หรือแม้แต่วัยกระเตาะ ควักสารพัดอุปกรณ์ไอที มากดเล่นกันให้มันส์มือ

       แต่ของดีๆ หากใช้เยอะไปก็เกิดโทษได้ค่ะ เหมือนโรคชื่อแปลกหู อย่าง “บีบี ทัมธ์” (BB Thumb) ว่ากันว่า เป็นโรคที่เกิดจากการใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป หลายคงฟังแล้วอาจยัง ‘งง’ โรคนี้คืออะไรกันแน่ เกิดจากการใช้โทรศัพท์จริงหรือ? ไม่ให้เสียเวลาค่ะ
       เราได้คุณหมอที่น่ารัก แพทย์หญิงธนพร ลาภรัตนากุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาล BNH มาให้ข้อมูลอย่างกระจ่าง ทั้งความหมายของโรค, สาเหตุการเกิด, วิธีป้องกัน แล้วยังแถมท้ายด้วยการแนะนำท่าบริหารให้ห่างไกลจากโรคบีบี ทัมธ์ มาฝากด้วยจ้า

       โรคบีบี ทัมธ์ คืออะไร เกิดขึ้นได้ไง

       
คุณหมอหน้าใส อธิบายความหมายให้ฟังแบบเข้าใจง่ายว่า แท้จริงแล้ว “โรคบีบี ทัมธ์” คือ โรคเอ็น หรือข้อที่เกิดการอักเสบขึ้นบริเวณนิ้วหัวแม่มือนั่นเอง ซึ่งสาเหตุหลักๆ เกิดจากการใช้นิ้วหัวแม่มือกดไปยังปุ่มเล็กๆ บนอุปกรณ์ไอที ขนาดพกพามากเกินไป ทว่าแม้โรคนี้จะเกิดได้จากการใช้อุปกรณ์ไอทีหลากหลายชนิด แต่ด้วยความฮิตของเจ้าแบล็กเบอร์รี่ (Blackberry) หรือ ‘BB’ ‘บีบี’ นี่แหละ ที่เด่นดังเกินหน้าใคร จนถูกจับมาตั้งเป็นชื่อโรคให้เก๋ไก๋ ทันสมัย (แต่ไม่มีใครอยากเป็น)

       “คำว่า ‘บีบี ทัมธ์’ เป็นคำที่เรียกตามชื่ออุปกรณ์ที่ฮิตขึ้นมา แต่จริงๆ แล้ว ‘บีบี ทัมธ์’ แปลว่าโรคของเอ็น หรือข้อที่เกิดการอักเสบขึ้นบริเวณนิ้วหัวแม่มือ ซึ่งจะครอบคลุมได้หลายโรคเลย อันที่หนึ่งคือ เอ็นอักเสบบริเวณนิ้วหัวแม่มือ อันที่สองคือ โรคนิ้วล็อก นอกจากนี้ยังเกี่ยวโยงในคนที่มีอาการชาร่วมด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการมีพังผืดที่ข้อมือ แล้วก็มีอาการชามาที่นิ้ว หลักๆ ก็คือ 3 โรคนี้

       ส่วนสาเหตุของ ‘บีบี ทัมธ์’ นั้น หลักๆ เกิดจากการใช้เยอะ คำว่า ‘ใช้เยอะ’ ก็หมายถึงใช้นิ้วหัวแม่มือเยอะกว่าปกติ เพราะนิ้วหัวแม่มือของคนเราสร้างมาเพื่อใช้ร่วมกับนิ้วอื่นๆ เช่น กำเพื่อหยิบของ แต่เดี๋ยวนี้มีการนำมาใช้กดบนอุปกรณ์ ทั้งมือถือ, PDA (Personal Digital Assistant-อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก) อาจจะไม่ใช่แค่แบล็กเบอร์รี่ อาจจะเป็นไอโฟน หรือโทรศัพท์รุ่นไหนก็ได้ที่เราใช้นิ้วหัวแม่มือกดเยอะๆ อาจจะเกิน 1 ชั่วโมงขึ้นไป อย่างนี้ก็เรียกว่านานจนสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้
       อันที่สองคือ ใช้ผิดท่า ปกติท่าทางการทำงาน กับอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกดโทรศัพท์ หรือใช้งานคอมพิวเตอร์ ควรจะเป็นท่านั่งตรง ส่วนการวางโทรศัพท์ก็ควรจะวางให้อยู่แนวราบ เช่น นำหมอนเล็กๆ มารองไว้ที่ตัก จะถือว่าดีที่สุด แต่ส่วนมากคนใช้บีบี หรือมือถือพิมพ์แชทกัน มักยกมือขึ้นมาแล้วกด ตามความเคยชิน ซึ่งถือเป็นท่าทางการใช้ที่ผิด”

       นอกจากใช้เยอะ และใช้ผิดท่าแล้ว คุณหมอหน้าละอ่อนบอกด้วยว่า ในคนที่มีอายุเยอะ และใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นประจำ ก็ถือเป็นบุคคลกลุ่มเสี่ยง ที่สามารถเกิดโรคนี้ได้ง่ายขึ้นค่ะ

       “สำหรับคนบางกลุ่ม จะมีความเสี่ยงในโรคนี้มากขึ้น เช่น คนที่มีอายุเยอะ ก็เป็นง่ายกว่าเด็กๆ เช่น 40 ปีขึ้นไป ก็มักจะมีปัญหาเรื่องของโรคข้อเสื่อมเริ่มต้นอยู่แล้ว ถ้ายิ่งไปใช้งานหัวแม่มือหนักๆ อีก ก็อาจจะเกิดอักเสบได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ในคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำงานอยู่แล้วก็อักเสบได้ง่ายกว่าคนอื่น คือ เป็นปัจจัยกระตุ้น ซึ่งปัจจัยกระตุ้นนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มือถือเยอะอย่างเดียว อาจจะเป็นไปในลักษณะพิมพ์งานด้วยคอมพิวเตอร์เยอะๆ ข้อมือและเอ็นก็ใช้งานหนักอยู่แล้ว พอมาใช้ มือถือเพื่อพิมพ์แชทนานๆ อีก ก็ถือเป็นการกระตุ้นให้เกิดโรคมากขึ้นไปอีก”

       อาการใดคือ สัญญาณบอกเหตุ

       
คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูอธิบายต่อ ให้เราได้โล่งอกว่า โรคบีบี ทัมธ์ นี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงค่ะ และปัจจุบันก็มีคนเป็นโรคนี้ไม่มาก ที่สำคัญหากคุณๆ รู้สึกถึงสัญญาณเตือนเบื้องต้นของการเป็นโรคแล้ว ปฏิบัติตนตามคำแนะนำต่อไปนี้ ก็สามารถหายจากโรคได้เองโดยไม่ถึงกับต้องไปพบแพทย์เลยค่ะ

       “ต้องอธิบายว่า ถ้าทางการแพทย์ จริงๆ แล้ว โรคนี้ก็ไม่ใช่โรคที่อันตราย ไม่ได้มีคนไข้เยอะมาก ก็คือมีเรื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับเป็นโรคขึ้นมาหนักๆ เพราะว่าคนที่ใช้ บีบี หรือพวกเครื่องไอทีเล็กๆ ส่วนใหญ่ก็อายุยังไม่เยอะมาก อาจจะไม่ถึง 40 ปี คือยังเป็นวัยรุ่น หรือคนทำงานอยู่ เมื่อใช้แล้วมีอาการปวด แต่พอพักการใช้ แล้วอาการปวดหายไป ก็ไม่ต้องพบแพทย์

       
สำหรับอาการเบื้องต้นสามารถแบ่งได้ 4 ระดับคือ

       หลังใช้งาน ปวดนิ้วนิดหน่อย แต่ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง อาการแรกๆ ปวดตอนใช้งาน ขณะกำลังเล่นอยู่เลย ใช้เสร็จ หรือกดเสร็จแล้ว อาการยังเจ็บยังมีอยู่นิดหน่อย ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็หายไป นี่คือ อาการแรก ปวดแต่ปวดไม่นาน

       หลังหยุดใช้แล้ว ปวดนิ้วเกินหนึ่งชั่วโมง-เช้าอีกวันยังระบม เป็นอาการที่ปวดมากขึ้น และนานขึ้นอีก แปลว่าเมื่อหยุดใช้งานแล้ว ก็ยังปวดอยู่ อาจจะหลังหนึ่งชั่วโมงไปแล้วยังปวดอยู่ หรือว่าวันรุ่งขึ้นตื่นมายังรู้สึกระบมๆ อยู่ นี้คืออาการปวดขั้นที่สองนะคะ

       นิ้วอ่อนแรง-นิ้วล็อกตอนเช้า ถ้าเป็นเยอะขึ้นมาอีกหน่อย อาจจะมีรู้สึกเหมือนนิ้วล็อก ก็คือตื่นเช้ามา ขยับนิ้วแล้วมันไม่สามารถที่จะงอ หรือว่าเหยียดได้ถนัด มากกว่านั้นก็คือ รู้สึกชา ซึ่งอาการชาก็อาจจะไม่ใช่แค่นิ้วเดียว อาจจะเป็นชาปลายนิ้วอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้ยังรู้สึกอ่อนแรง ซึ่งอ่อนแรงก็อาจจะไม่ใช่ อ่อนแรงถึงขั้นนิ้วตก หรือขยับนิ้วไม่ได้ แต่แค่เวลาใช้นิ้วแล้วรู้สึกว่ามันใช้งานได้ไม่เหมือนปกติ เช่น กดแล้วไม่ค่อยมีแรง หรือแรงน้อยลง

       หลังหยุดใช้แล้ว มีอาการบวมแดงอุ่นๆ อาการนี้มักเกิดในคนที่ใช้เยอะ และหนักจริงๆ เช่น เล่นเกมต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานมากๆ ก็อาจจะมีอาการบวมแดง อุ่นๆ นิดหน่อยตรงบริเวณนิ้วหัวแม่มือ”
       เมื่อพูดถึงระดับอาการแล้ว คุณหมอธนพร ก็ให้คำแนะนำในปฏิบัติตัวเบื้องต้นเมื่อเริ่มรู้สึกได้ถึงการปวดนิ้วหัวแม่มือ อันเป็นสัญญาณอันตรายของโรค บีบี ทัมธ์ มาด้วยค่ะ

       “หากมีอาการปวด เจ็บ บวม หรือสงสัยว่าเราจะเป็นบีบี ทัมธ์ ข้อแรก ต้องพัก คำว่า ‘พัก’ ก็คือ ใช้ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงแล้วหยุด อาจจะไม่ได้หยุดเล่นทั้งวัน เพราะบางคนอาจทำไม่ได้ แต่ที่แนะนำก็คือ พอเล่นครบหนึ่งชั่วโมงแล้ว ให้หยุดพักก่อน แล้วก็ค่อยกลับมาเล่นใหม่

       ข้อสอง ถ้าเป็นเยอะมากถึงระดับที่สอง หรือสาม นั่นคือ แม้จะหยุดใช้เกินหนึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่หาย ก็ขอให้หยุดยาวขึ้น หลีกเลี่ยงการใช้ไปสักพักหนึ่ง อาจจะหนึ่งวันเต็มๆ แต่ในกรณีคนที่ปวดแล้วบวมแดง อุ่นๆ ก็สามารถใช้การประคบเย็นช่วยได้เล็กน้อย อาจใช้เป็นคูลแพ็ค (Cool Pack) หรือนำน้ำแข็งห่อผ้ามาประคบ อันนี้เป็นวิธีเบื้องต้นที่ช่วยได้ และข้อต่อมาถ้ายังไม่หายปวดอีก ก็สามารถซื้อยาแก้ปวดตามท้องตลาดทั่วไปทานก็ช่วยได้ ถ้ากินประมาณ 1-2 วันดีขึ้น ก็แสดงว่าไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้าดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างที่บอกมาแล้วยังไม่ดีขึ้น ก็ควรมาพบแพทย์ เพื่อตรวจดูว่าตกลงสาเหตุของอาการเจ็บมันมาจากอะไรกันแน่”

       หากรักษาเบื้องต้นด้วยตัวเองแล้วยังไม่หาย จะต้องถึงขั้นต้องผ่าตัดด้วยมั้ยคะ?

       “เมื่อมาพบแพทย์ แพทย์จะวินิจฉัยว่า หากเป็นโรคนี้จริง ไม่ได้มีอย่างอื่น เช่น ไม่ได้เกี่ยวกับเส้นประสาทการควบคุมที่มาจากสมอง เป็นเอ็นอักเสบเฉยๆ ก็จะแนะนำให้พักอีก และรับประทานยาก่อน ซึ่งยาก็จะเป็นยากลุ่มลดการอักเสบ ให้กินต่อเนื่องกันประมาณ 1-2 สัปดาห์ และในคนที่มีความจำเป็นต้องใช้งานตลอด เช่น ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ แพทย์อาจจะสั่งให้ใส่ที่พยุงนิ้วหัวแม่มือไว้ช่วยทุเลาอาการ แต่ตามหลักการจริงๆ นั้น การพักการใช้งานจะดีที่สุด

       ถัดมา หากอาการยังไม่ดีขึ้นอีก ก็ต้องทำกายภาพบำบัด หมายถึง วิธีการที่ใช้เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ มาลดการอักเสบเฉพาะจุด และท้ายที่สุดถ้าทำกายภาพบำบัดแล้วยังไม่ดีขึ้นอีก ถึงจะเป็นขั้นที่คุณหมอกระดูกอาจจะพิจารณาเรื่องการผ่าตัด แต่พบไม่เยอะ ถ้าเกิดมาพบแพทย์เร็ว หรือเราไม่ได้ปล่อยให้ปวดเรื้อรัง ส่วนการผ่าตัด ถ้าเป็นโรค บีบี ทัมธ์ การผ่าตัดก็จะผ่าตัดขนาดเล็ก เพื่อสลายพังผืดออก ซึ่งผ่าตัดเล็กนี้ บางคนไม่ต้องอยู่โรงพยาบาลเลย ผ่าตัดเสร็จก็ออกไปพักที่บ้านได้” คุณหมอสาวอธิบายไขข้อข้องใจ

      
 *วิธีบริหารมือ และนิ้ว ให้ห่างไกลจากโรค บีบี ทัมธ์

       
คุณหมอธนพรย้ำว่า ทุกท่าบริหารต่อไปนี้เวลาบริหารต้องนั่งหลังตรงค่ะ ถึงจะได้ประสิทธิภาพดีที่สุดโดยในแต่ละท่า ให้ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที และทำ 10 ครั้ง แต่หากไม่มีเวลา ระหว่างทำงานทุกๆ ชั่วโมง ควรพักสายตาและผ่อนคลายอิริยาบถ ด้วยท่าบริหารเหล่านี้แค่ครั้ง หรือสองครั้งก็เป็นประโยชน์แล้ว

       ท่าที่1 ประสานมือกัน แล้วยืดออกไปด้านหน้า แล้วต่อด้วยการยืดแขนขึ้นด้านบน ข้อศอกตึงค่ะ
       ท่าที่2 หงายข้อมือขึ้น แล้วยกมืออีกข้างดันข้อมือให้ยืดลงอย่างช้าๆ จะรู้สึกตึง ๆ แล้วพลิกข้อมือคว่ำลงช้าๆ อย่าลืมว่า ข้อศอกต้องตึงนะคะ ความรู้สึกคุณก็จะตึงๆ เช่นกัน บริหารสลับซ้ายขวาสองข้างค่ะ
       ท่าที่3 ใช้นิ้วชี้แขนขวายึดนิ้วหัวแม่มือแขนซ้ายเข้าหาหลังมืออย่างเบาๆ จากนั้นวางแขนขวาลงที่ตัก และงอนิ้วหัวแม่มือแขนซ้ายลง โดยใช้นิ้วที่เหลือของแขนซ้ายกดหัวแม่มือไว้ บริหารสลับซ้ายขวาสองข้างเช่นกันค่ะ
       สิ่งสำคัญสุดๆ ที่คุณหมอฝากกำชับมาก็คือ ระหว่างนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นั้น ควรนั่งหลังตรง โดยนั่งให้เต็มสะโพก หรือหาหมอนใบเล็กๆ มาดุนหลังไว้และพิงที่พนักพิง ขณะที่มือควรวางในระดับตั้งฉากพอดีกับโต๊ะ เพื่อเวลาจะจับเม้าท์ หรือพิมพ์แป้นคีย์บอร์ด จะได้ไม่ต้องกระดกข้อมือขึ้น-ลง มากจนเกินไป ส่วนจอคอมพิวเตอร์ควรวางให้กลางจอ อยู่ระดับสายตาพอดี

       ส่วนข้อแนะนำ สำหรับการใช้โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์สื่อสารใดๆ ในการแชท หรือเล่นเกมนานๆ ถ้าให้ดีควรหาหมอนมารอง เพื่อไม่ให้ข้อมือเกร็งอยู่ในท่าเดิมนานๆ เพราะนั่นคือสาเหตุให้เกิดกล้ามเนื้อ และเอ็นอักเสบได้ง่าย

      
 ::ด้วยความห่วงใย

       
-เพื่อป้องกันการปวดบวมที่นิ้วหัวแม่มือ จากการใช้งานนานๆ ลองเปลี่ยนมาใช้นิ้วอื่นกดบ้างสิคะ แม้จะไม่ถนัดเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ได้พักนิ้วหัวแม่มือ และให้นิ้วอื่นๆ ได้ขยับข้อนิ้วไปในทิศทางที่หลากหลายมากขึ้น ก็เป็นการช่วยลดอาการปวดได้ส่วนหนึ่ง

       -พยายามข่มใจลดความถี่การแชท หรือใช้นิ้วจิ้มลงบนปุ่มเล็กๆ ของอุปกรณ์ไอทีทั้งหลายลงบ้าง ลองเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอื่นๆ ดูสิ โลกนี้มีเรื่องน่าทำอีกเยอะ จริงไหมคะ

       -ลองสังเกตการใช้นิ้วของตัวเองดู ว่าปกติระหว่างจิ้มกดไปที่อุปกรณ์ต่างๆ นั้น นิ้วเราเป็นไปในลักษณะใด และเราจะรู้สึกปวดเมื่อนิ้วอยู่ท่าไหน เมื่อรู้แล้วก็เลี่ยงท่านั้นๆ ซะ

       -รักและห่วงสุขภาพตัวเองให้เยอะๆ หากเริ่มรู้สึกปวด หรือชา บริเวณข้อนิ้ว เป็นสิ่งบ่งบอกว่า นิ้วของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว ควรหยุดใช้ เพื่อเห็นแก่สุขภาพของตัวคุณเอง

ไฮโดรโพนิกส์



                      สวนพืชไร้ดิน  
              อำเภอศรีประจันต์

ริมถนนสาย สุพรรณ - ชัยนาท บนพื้นที่ 200 ไร่เลยจากหมู่บ้านควายมาไม่ไกล ขวามือจะมีป้ายขนาดใหญ่ สวนพืชไร้ดิน  สถานที่แห่งนี้ เป็นที่เพาะปลูกพืชผักตามฤดูกาล และผักเมืองหนาวด้วยวิธีไม่ใช้ดิน โดยปลูกบนแผ่นฟองน้ำ ทราย กรวด ขี้เลื่อย หรือในสารละลายธาตุอาหารแทนปราศจากศัตรูพืช วัชพืช และสารป้องกันโรคพืช ทำให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคปลอดภัยจากสารพิษ มีโอกาสผ่านไป ก็ไม่ควรพลาดชม และซื้อผักสดๆ กรอบอร่อย
ข้อสำคัญ สะอาด และปราศจากสารพิษตกค้าง
สวนพืชไร้ดิน  Soilless Culture Centerพืชไม่ใช้ดิน หรือไร้ดิน (hydroponic) หมายถึง การปลูกพืชในวัสดุปลูกที่ไม่ต้องใช้ดินเป็นองค์ประกอบ
หรือการปลูกพืชในสารละลายธาตุอาหารโดยตรง ซึ่งอาจมีวิธีการให้สารละลายธาตุอาหารแก่พืชแตกต่างกันไป
เช่น ให้สารละลายธาตุอาหารไหลผ่านรากพืชเป็นฟิล์มบางๆ ที่เรียกว่า การปลูกแบบ Nutrient Film Technique (NFT)  หรือการพ่นสารละลายธาตุอาหารให้แก่รากพืชโดยตรง ซึ่งรากของพืชจะลอยอยู่ในอากาศอย่างอิสระ
ที่เรียกว่า การปลูกแบบ Aeroponics หรือการปั๊มอากาศลงไปในสารละลายธาตุอาหาร การปลูกพืชแบบ ไฮโดรโพนิกส์ มีการจัดปัจจัยต่างๆ เช่น น้ำ แร่ธาตุ แสง อุณหภูมิให้แก่พืชอย่างเหมาะสม พืชจึงเจริญเติบโตเร็ว และให้ผลผลิตมากสม่ำเสมอ สะอาด มีคุณภาพดี ปลูกได้ต่อเนื่องตลอดปี สามารถปลูกพืชได้ในพื้นที่ไม่มีดิน หรือมีดินไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืช การใช้น้ำใช้ปุ๋ยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้แรงงานน้อย พืชที่เหมาะสมในการปลูกระบบนี้ คือ พืชผักที่ใช้ทำสลัด พืชตระกูลกระหล่ำ ผักกาดคะน้า และผักพื้นบ้านทั่วไป เช่นผักบุ้ง กวางตุ้ง
เนื่องจากการปลูกพืชในระบบไฮโดรโพนิกส์นี้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ เป็นการปลูกโดยอาศัยหลักการให้น้ำปุ๋ย
ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด พืชที่ได้มีรสชาติดี เหมาะแก่การบริโภคทั้งดิบและสุก
   นับเป็นนวัตกรรมความดิดริเริ่มใหม่ที่มุ่งพัฒนาด้านการเกษตรของไทย สิ่งที่น่าสนใจภายในสวนพืชไร้ดิน ได้แก่  สวนพืชไร้ดินที่สมบูรณ์และใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
บนเนื้อที่ 200 ไร่, แปลงพืชไร้ดินที่ยาวที่สุดในโลก 72 เมตร (เฉลิมพระเกียรติในวโรกาส 72 พรรษา สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ), บ่อเลี้ยงปลาขนาดใหญ่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลาเศรษฐกิจหลากหลายพันธุ์,
จำหน่ายผักไร้สารพิษ 100 % จากฟาร์ม, สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(OTOP)